5 ล้านบาทเพื่อชีวิตหนึ่งชีวิต
นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าจากต่างประเทศ แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับคนไทย และเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ “คุณปอ” ชายวัยทำงานที่ดูแข็งแรงมาตลอด จู่ ๆ มีอาการป่วยรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ทีมแพทย์ต้องใช้ทุกวิธีที่เป็นไปได้ — ยาเฉพาะทางที่ต้องสั่งนำเข้า เครื่องมือขั้นสูง และบุคลากรทางการแพทย์ที่เฝ้าดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เขารอดชีวิตมาได้ แต่ค่ารักษาพยาบาลพุ่งทะลุ 5,000,000 บาท ในเวลาไม่กี่สัปดาห์
ลองคิดดู… ถ้าวันนั้นเขาไม่มีประกันสุขภาพที่มีวงเงินสูงพอ เงินจำนวนนี้จะต้องมาจากไหน? จะต้องขายบ้าน ขายทรัพย์สิน หรือใช้เงินเก็บทั้งชีวิตของครอบครัวหรือไม่? เหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่า “วงเงินประกัน” ไม่ใช่แค่ตัวเลขในสัญญา แต่มันคือ ตัวกำหนดคุณภาพการรักษาและความอุ่นใจ ของทั้งครอบครัว
เพราะเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดแค่ในข่าว
หลายคนอาจคิดว่าค่ารักษาหลักล้านเกิดจากโรคที่พบได้น้อย หรืออุบัติเหตุร้ายแรงเท่านั้น แต่ความจริงคือ แม้โรคที่ดู “ทั่วไป” อย่างไข้เลือดออก ปอดอักเสบ หรือไส้ติ่งอักเสบ ก็สามารถทำให้บิลค่ารักษาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วได้ หากเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือมีปัญหาสุขภาพอื่นร่วมด้วย
ลองมาดูตัวเลขจากโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในกรุงเทพฯ
- ค่าห้อง ICU ต่อวัน: 18,000–26,000 บาท
- ค่ายาเฉพาะทางและเวชภัณฑ์: หลักหมื่นถึงหลักแสนต่อวัน
- ค่าทีมแพทย์และการตรวจพิเศษ (MRI, CT Scan, ส่องกล้อง ฯลฯ): เพิ่มขึ้นตามความซับซ้อนของเคส
เพียงไม่กี่วัน ตัวเลขรวมอาจแตะหลักล้านได้ง่าย ๆ และถ้าวงเงินในประกันไม่พอ… ส่วนต่างทั้งหมดจะตกอยู่กับผู้ป่วยและครอบครัวทันที
สิ่งที่เราไม่พูด…แต่ทุกคนรู้
คุณอาจไม่เคยบอกใครตรง ๆ ว่าอยากได้อะไรจากการรักษา แต่ในใจ… ทุกคนก็อยากได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดในวันที่ต้องเข้าโรงพยาบาล
- เดินผ่านล็อบบี้กว้างที่ตกแต่งสวย สว่างไสว
- กลิ่นกาแฟหอมจากคาเฟ่ดังข้างเคาน์เตอร์ต้อนรับ
- รอพบแพทย์เพียงไม่กี่นาที ไม่ต้องนั่งรอเป็นชั่วโมง
- ตรวจแล็บ, X-ray, MRI และรับยาได้ในวันเดียว
- ห้องพักผู้ป่วยกว้าง เงียบสงบ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ
ประสบการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความสบาย แต่เป็นเรื่องของ ความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความต่อเนื่องในการรักษา และทั้งหมดนี้… มี “ราคาที่ชัดเจน” ซึ่งถูกกำหนดโดยวงเงินในกรมธรรม์ของคุณ
เงินเฟ้อทางการแพทย์ ตัวเลขที่วิ่งแซงทุกอย่าง
ข้อมูลจาก KPMG Global Health 2023 ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อด้านการแพทย์ในไทยเฉลี่ย 8–10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าเงินเฟ้อทั่วไปเกือบ 3 เท่า และเมื่อมองย้อนกลับไป 10 ปี ค่ารักษาโรคหลายประเภทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แนวโน้มค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน (เทียบ 2013 vs 2023)
รายการรักษา | ปี 2013 | ปี 2023 | เพิ่มขึ้น (%) |
---|---|---|---|
ผ่าตัดหัวใจ | ~800,000 บาท | 1,400,000–1,600,000 บาท | +75–100% |
เคมีบำบัดต่อรอบ | ~80,000 บาท | 150,000–200,000 บาท | +87–150% |
ผ่าตัดสมอง | ~900,000 บาท | 1,700,000–2,000,000 บาท | +88–122% |
ถ้ากรมธรรม์ของคุณยังใช้วงเงินเท่าเดิมตั้งแต่สิบปีก่อน
วันนี้… มันอาจไม่พอแม้ครึ่งหนึ่งของค่ารักษาจริง
เงินเฟ้อด้านการพยาบาล ค่าดูแลที่เพิ่มขึ้นทุกคืน
WHO ระบุว่า ประเทศไทยมีบุคลากรพยาบาลต่อประชากรต่ำกว่ามาตรฐานโลก ทำให้ค่าจ้างบุคลากรพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง และส่งผลตรงต่อค่ารักษาในบิลของคุณ
ค่าพยาบาลต่อคืนในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ:
- ปี 2015: 2,000–2,500 บาท
- ปี 2023: 5,000–6,500 บาท
ถ้าพักฟื้น 10 วัน ค่านี้เพียงอย่างเดียวก็แตะ 50,000–65,000 บาท และนี่เป็นเพียง “หนึ่งบรรทัด” ในบิลค่ารักษาเท่านั้น
วิวัฒนาการการรักษา คุณภาพชีวิตสูงขึ้น แต่ราคาก็สูงตาม
ภาพรวมสิบปีที่ผ่านมา บอกเราชัดเจนว่า “ทางเลือก” ของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจริง—ตั้งแต่การวินิจฉัยแม่นยำเร็วขึ้น ไปจนถึงการผ่าตัดที่แผลเล็กลงและฟื้นตัวไวกว่าเดิม แต่สิ่งที่ต้องรับให้ได้คือ “ต้นทุน” ที่แพงขึ้นตามคุณภาพของเทคโนโลยีและทีมแพทย์เฉพาะทาง
การสแกนระดับสูงอย่าง CT, MRI, PET-CT ช่วยหมอเห็นภาพในร่างกายแบบละเอียดระดับมิลลิเมตร บางเคสสามารถข้ามขั้นตอนผ่าตัดสำรวจที่เคยเสี่ยงและกินเวลาได้เลย แต่ค่าตรวจเหล่านี้ก็อยู่ในหลักหมื่น–แสนต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับอวัยวะและความซับซ้อน
ด้านการรักษา “หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery)” กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในหลายสาขา—ระบบประสาท นรีเวช ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ—จุดเด่นคือแผลเล็ก เสียเลือดน้อย ขยับเครื่องมือได้ละเอียดกว่า มือศัลยแพทย์จึงทำงานบนพื้นที่ที่แคบที่สุดได้แม่นยำขึ้น ความเสี่ยงน้อยลง เวลาอยู่โรงพยาบาลสั้นลง แต่ค่าใช้จ่ายมักเริ่มต้นหลายแสนบาทต่อครั้ง
สำหรับมะเร็ง เทคโนโลยียุคใหม่อย่าง “Targeted Therapy / Immunotherapy” ทำให้ผู้ป่วยบางกลุ่มใช้ชีวิตต่อได้อย่างมีคุณภาพ โดยไม่ต้องทนผลข้างเคียงเท่าเคมีบำบัดแบบเดิม แต่ราคา “ต่อคอร์ส” อยู่ในระดับหลักแสนถึงหลักล้าน และอาจต้องทำซ้ำหลายรอบต่อปี
สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลว่า “วงเงินสูง” ไม่ใช่แค่คำสวย ๆ—มันคือสิทธิในการเข้าถึงทางเลือกที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องตัดสินใจบนข้อจำกัดของงบประมาณ
สิทธิประโยชน์ที่มากกว่าค่ารักษา เมื่อคุณมี ‘ประกันสุขภาพวงเงินสูง
แม้เราจะพูดถึงโรคหนัก ๆ เป็นหลัก แต่ความจริงคือ “คุณภาพชีวิตประจำวัน” ก็เป็นสมการสำคัญของสุขภาพที่ดี แผนวงเงินสูงหลายแบบจงใจออกแบบให้ครอบคลุมสิทธิที่คนส่วนใหญ่มองข้าม แต่ใช้จริงทั้งปี เช่น
- ค่าฝากครรภ์ และคลอดบุตร: ในโรงพยาบาลเอกชนยอดนิยม ค่าคลอดปกติ–ผ่าคลอดบวกค่าห้องพัก สามารถแตะหลักแสนได้ง่าย ๆ หากมีภาวะแทรกซ้อน ค่าใช้จ่ายอาจพุ่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว
- ค่าตัดแว่น / คอนแทกเลนส์: ผู้ที่ค่าสายตาผิดปกติ สายตาสั้น เอียง รู้ดีว่าค่าใช้จ่ายในการตัดแว่น หรือคอนแทกเลนส์สายตาในแต่ละปีค่อนข้างสูง การที่ประกันสุขภาพดูแลในส่วนนี้ก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายประจำปีลงได้มาก
- ค่าทันตกรรม ทำฟัน: ประกันสุขภาพวงเงินสูงมักจะมี ค่าใช้จ่ายในด้านทันตกรรม ขูด อุด ถอน เคลือบหลุมร่องฟัน รวมถึงหัตถการราคาเป็นหมื่นอย่างรากฟันเทียม
- ตรวจสุขภาพประจำปี และฉีดวัคซีน: การตรวจสุขภาพทำให้เราเจอความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่น ๆ ปรับพฤติกรรมและรักษาได้ทันก่อนบานปลาย รวมถึงวัคซีนยังเป็นการรักษาเชิงป้องกัน ทำให้เราปกป้องความเสี่ยงใการนเจ็บป่วยได้
สิทธิเหล่านี้คือ “กำไรชีวิต” ที่แผนวงเงินสูงตั้งใจให้—ไม่ใช่แค่จ่ายเมื่อป่วยหนัก แต่ยกระดับสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ชีวิตดีที่เลือกได้ด้วย ประกันสุขภาพวงเงินสูง จากอลิอันซ์
เมื่อพูดถึง “วงเงิน” ระดับที่ทำให้ไม่ต้องลังเลในวันตัดสินใจ แผนที่อยู่ในเรดาร์ของคนรักความสบายใจมักหนีไม่พ้นสองชื่อใหญ่ ๆ นี้
ประกันสุขภาพระดับเฟิร์สคลาส จาก อลิอันซ์ อยุธยา
- วงเงินเหมาจ่ายรายปีสูงสุด 120 ล้านบาท
- เปิดพื้นที่ให้เลือกโรงพยาบาลเอกชนระดับท็อปในไทย และเชื่อมโยงเครือข่ายต่างประเทศ
- แนวคิดคือ “รักษาให้จบในที่เดียว”—ครอบคลุมการรักษาโรคใหญ่แบบไม่จำกัดรอบจนกว่าจะใช้ครบวงเงิน
- ใส่ใจรายละเอียดชีวิตประจำวัน: สิทธิคลอดบุตร ทันตกรรม ตรวจสุขภาพ ค่าตัดแว่น/คอนแทกเลนส์
- เน้นประสบการณ์ผู้ป่วยเดี่ยว—ห้องเดี่ยวมาตรฐานสูงสุดในเครือโรงพยาบาลพรีเมียมที่คนส่วนใหญ่ไว้วางใจ
ประกันสุขภาพแบบแพลตินัม ไฮคลาสด้านการดูแลสุขภาพ จาก Allianz
- วงเงินเหมาจ่าย 80–100 ล้านบาท ต่อปี
- ครอบคลุมผู้ป่วยใน + ผู้ป่วยนอก ในระดับที่ “พกไว้แล้วไม่ต้องคิดมาก”
- จุดเด่นคือ “สิทธิเสริม” ที่ใช้ได้จริงทั้งปี: ค่าคลอดสูงสุดหลายแสน ทันตกรรมต่อปีในระดับใช้งานจริง ค่าตัดแว่น/คอนแทกเลนส์ที่ไม่ต้องควักเพิ่ม
- บริการช่วยเหลือเชิงประสบการณ์ เช่น Medical Evacuation / Concierge ที่เปลี่ยนความเครียดให้น้อยลงในวันที่เหนื่อยที่สุด
ถ้าต้องให้สรุปสั้น ๆ: ประกันสุขภาพวงเงินสูง คือคำตอบ “สุดทาง” สำหรับคนที่ไม่อยากมีเพดานในการเลือก และ Heเป็นการปกป้องความเสี่ยง ให้ “ความสบายใจสูง” ในแพ็กเกจที่บาลานซ์ความคุ้มครองกับความคุ้มค่า
บทเรียนจากเคสคุณปอ มุมมองที่เปลี่ยนทั้งเกม
เรื่องของคุณปอสอนเราว่า เมื่อถึงวันจริง “คำว่าแพงหรือคุ้ม” ไม่ได้เท่ากันสำหรับทุกคน มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณให้ค่ามากที่สุด—โอกาสรอด คุณภาพชีวิต ความเร็วในการเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุด และความสงบใจของคนที่คุณรัก วงเงินที่ “พอจริง” จึงไม่ใช่การตั้งเพดานให้ชีวิต แต่เป็นการ “เปิดเพดานการเลือก” เพื่อให้การตัดสินใจของคุณยืนอยู่บนพื้นฐานของคุณภาพ ไม่ใช่ราคาที่บังคับคุณให้ถอย
Q&A – คำถามที่เจอบ่อย
Q1: วงเงินสูงแค่ไหนถึงพอ?
ให้เริ่มจาก “โรงพยาบาลที่คุณอยากไปจริง” แล้วดูค่ารักษาโรคหนักยอดฮิต (หัวใจ มะเร็ง ระบบประสาท) ในระดับเอกชน จากนั้นคูณด้วยความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ซ้อนในปีเดียว—คำตอบสำหรับคนส่วนใหญ่จึงอยู่ที่ 60 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อให้ครอบคลุมเหตุการณ์ใหญ่ 1–2 ครั้ง + ภาวะแทรกซ้อน + การรักษาต่อเนื่อง
Q2: ส่วนต่างเบี้ยระหว่างวงเงินทั่วไปกับวงเงินสูง คุ้มจริงไหม?
ถ้าวัดเป็น “ร้อยละต่อปี” อาจรู้สึกว่าต่าง แต่ถ้าวัดเป็น “ความเสี่ยงที่จะถูกบังคับให้ถอยจากทางเลือกที่ดีที่สุด” ส่วนต่างเล็กน้อยนั้นมักคุ้มมหาศาล ยิ่งในปีที่หนัก—วงเงินที่สูงพอช่วยกันกระแสเงินสดและเงินเก็บไม่ให้สั่นไหว
Q3: ถ้าคนแข็งแรง ไม่ค่อยป่วย ทำไมต้องวงเงินสูง?
เพราะเหตุการณ์ใหญ่ไม่ส่งสัญญาณล่วงหน้า และโรคบางชนิดไม่ถามอายุ การซื้อช่วงที่สุขภาพดี ค่าเบี้ยมักคุ้มกว่าและสิทธิรับประกันง่ายกว่า การรอให้เกิดเหตุแล้วค่อยคิด—ส่วนใหญ่ “ช้าไป” เสมอ
Q4: ทำไมบางแผนครอบคลุมค่าคลอด ทันตกรรม ตัดแว่น?
เพราะแนวคิดของ “สุขภาพ” วันนี้กว้างกว่าการรอดจากโรค แผนระดับสูงจึงครอบคลุมทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กที่ “ใช้จริงทั้งปี” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ใบเสร็จตอนป่วย
Q5: เลือกโรงพยาบาลยังไงให้เหมาะกับแผน?
เริ่มจาก “ความคุ้นเคย + ความเชื่อมั่นในทีมแพทย์” แล้วตรวจสอบการรองรับของแผน (Direct Billing/เครือข่าย) และความสะดวกในการนัดหมาย/ติดตามผล—ของพวกนี้ประหยัดเวลาและแรงใจมากกว่าที่คิด
Q6: ถ้ามีสวัสดิการบริษัทอยู่แล้ว ยังต้องซื้อเพิ่มไหม?
ขึ้นกับเพดานและข้อยกเว้นของสวัสดิการ ถ้าคุณรักษาโรงพยาบาลที่ค่ารักษาสูง หรืออยากมีทางเลือกเทคโนโลยีล่าสุด วงเงินส่วนตัวที่สูงพอเป็น “ชั้นสำรอง” ที่สำคัญ ทั้งเพื่ออิสระและเพื่อครอบครัว
How‑to เลือกวงเงินให้พอดี ดีไซน์แผนประกันให้เข้ากับชีวิต
- เริ่มที่สถานพยาบาลจริงที่คุณอยากใช้: ดูค่าใช้จ่ายโรคใหญ่ในโรงพยาบาลเป้าหมาย
- คิดแบบ “ปีหนัก ๆ”: จำลองเหตุการณ์ซ้อน 1–2 ครั้ง + พักฟื้น + ยาต่อเนื่อง
- เช็กพฤติกรรมชีวิต: ใช้บริการตรวจสุขภาพ/ทันตกรรม/สายตาแค่ไหน
- ดูเงื่อนไข Direct Billing: จ่ายตรง–ลดความวุ่นวายวันเครียด
- เปรียบเทียบแผน: ถ้ามองจบแล้วอยาก “ไม่กังวลเรื่องเพดาน” ให้ประกันสุขภาพวงเงินสูง เพื่อบาลานซ์ความคุ้มครองต่อราคาที่จับต้องได้
สรุปสั้นที่สุด ประกันวงเงินสูง = อิสระในการเลือก
ท้ายที่สุด การซื้อประกันสุขภาพวงเงินสูง ไม่ใช่การซื้อความกลัว แต่คือการซื้อ “อิสระในการเลือก” ในวันที่สิบนาทีมีค่า และการตัดสินใจหนึ่งครั้งกำหนดคุณภาพชีวิตที่เหลืออยู่
คุณอาจไม่ได้ใช้มันทุกปี แต่ในปีที่ต้องใช้ มันจะเป็นสิ่งที่คุณดีใจที่สุดที่เคยตัดสินใจไว้ตั้งแต่วันนี้
สุดท้ายคุยกันเถอะ ถ้าคุณอยากให้ตัวเลขหยุดเป็นข้อจำกัด
ถ้าคุณอยากเช็กว่า ระดับวงเงินไหน “พอดีจริง” กับวิธีใช้โรงพยาบาลของคุณ ลองคุยกันสั้น ๆ บอกสไตล์การรักษาที่คุณชอบ โรงพยาบาลที่คุณไว้ใจ และสิทธิที่คุณใช้จริงทั้งปี เดี๋ยวเราช่วยวางภาพรวมให้เห็นชัด แบบไม่ขายฝัน ไม่เร่งรัด แค่ช่วยให้คุณมั่นใจว่าจะได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดในวันที่ต้องเลือกจริง ๆ คลิกมาคุยกับเพื่อหาประกันสุขภาพที่เหมาะกับคุณ