หลายคนใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ มุ่งมั่นกับงานจนละเลยสุขภาพ พอป่วยถึงได้หันมาดูแลตัวเอง แต่พอหายก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม วนเวียนไปมา สุดท้ายตรวจสุขภาพเจอโรคร้าย ซึ่งโรคหัวใจเป็นหนึ่งในโรคร้ายยอดฮิตที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย สาเหตุหลักมาจากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ พักผ่อนน้อย ทานอาหารไม่ดี และความเครียดสะสม
รู้จักโรคหัวใจให้มากขึ้น
โรคหัวใจ หมายถึง โรคที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โรคหัวใจมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีสาเหตุและอาการแตกต่างกัน เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจโต โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคหัวใจขาดเลือด ฯลฯ
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิด โรคหัวใจ
พฤติกรรมการใช้ชีวิต
- สูบบุหรี่
- ดื่มแอลกอฮอล์
- ไม่ออกกำลังกาย
- ทานอาหารไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น อาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง โซเดียมสูง
- นอนหลับไม่เพียงพอ
- เครียด
โรคประจำตัว
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคไขมันในเลือดสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคอ้วน
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ภาวะไตวายเรื้อรัง
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ภาวะซีดเรื้อรัง
ประวัติครอบครัว
มีญาติสายตรงเป็นโรคหัวใจ
สัญญาณเตือนโรคหัวใจ
โดยปกติแล้วโรคหัวใจมักจะไม่ค่อยมีอาการที่แสดงออกมาชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังคงมีอาการบางอย่างที่ส่งสัญญาณบอกว่ามีสิทธิ์เป็นโรคหัวใจอยู่ดังต่อไปนี้
- เหนื่อยง่ายเวลาออกกำลังกาย เดินขึ้นบันใดหลายชั้น เดินเร็ว หรือทำงานที่ต้องใช้แรงเยอะ
- หายใจเข้าลำบาก เป็นในเวลาที่ออกกำลังกาย ใช้แรงมาก ซึ่งอาจเป็นได้ตลอดเวลาหรือเป็นเฉพาะในเวลากลางคืน
- เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอกข้างซ้ายหรือทั้งสองข้าง เพราะจะทำให้รู้สึกเหนื่อย อึดอัดตรงหน้าอกหรือหายใจไม่ออกจนไม่สามารถนอนราบได้ปกติแบบคนทั่วไป
- ใจสั่น หน้ามืดได้ง่าย และบางครั้งก็เป็นโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เหงื่ออออกง่าย หัวใจเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ จนอาจถึงขั้นภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
- แขนขา มือและเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ เล็บและริมฝีปากมีสีเขียว ม่วงหรือดำคล้ำ
- และในบางรายมีอาการของกระดูกสันหลังคดงอจนผิดรูปร่วมด้วยเนื่องจากการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์ผนังเยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งกระดูกที่คดอาจไปเบียดกับปอดจนทำให้การหายใจนั้นเหนื่อยหอบได้ง่าย
ซึ่งอาการเหล่านี้ถ้าหากตรวจพบเจอได้เร็วก็จะสามารถรักษาอาการให้คงที่และใช้ชีวิตได้เหมือนกับคนปกติทั่วไปได้
ประเภทและอาการของโรคหัวใจยอดฮิต
1. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
เกิดจากการรวมตัวของไขมันที่ผนังในหลอดเลือดหัวใจจนเป็นก้อน ซึ่งก้อนไขมันนี้เกิดจากคอเลสเตอรอลและของเสียอื่น ๆ เกาะตัวกันเป็นกลุ่ม จนทำหลอดเลือดเกิดการตีบตันทำให้ขัดขวางการไหลเวียนของเลือด จึงทำให้ไม่สามารถส่งเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้ ซึ่งภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันจะทำให้ร่างกายไม่สามารถส่งเลือดและออกซิเจนไปยังหัวใจได้
สัญญาณเตือน
- เจ็บแน่นหน้าอก คล้ายมีสิ่งกดทับ มักเกิดขึ้นกลางอก อาจร้าวไปยังกราม ไหล่ แขนซ้าย คอ หรือหลัง
- หายใจลำบาก หายใจไม่เต็มอิ่ม
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม
- เหงื่อออกมาก
อาการรุนแรง
- เจ็บหน้าอกรุนแรง แน่นิ่ง นานกว่า 20 นาที
- หายใจหอบ เหนื่อยมาก
- หมดสติ
2. โรคหัวใจโต
กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักจนขยายขนาดใหญ่ขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการหายใจหอบ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ขาบวม
สัญญาณเตือน
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- หายใจลำบาก หายใจไม่เต็มอิ่ม
- ไอเรื้อรัง
- ขาบวม
- รู้สึกเหมือนมีน้ำในช่องท้อง
- ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม
อาการรุนแรง
- หายใจหอบ เหนื่อยมาก
- เจ็บหน้าอก
- หมดสติ
3. โรคลิ้นหัวใจตีบ
โรคลิ้นหัวใจตีบคือภาวะที่ลิ้นหัวใจปิดและเปิดได้ไม่สุด ซึ่งทำให้เลือดออกจากห้องหัวใจยากขึ้นทำให้มีความดันและปริมาณเลือดสะสมย้อนกลับไปสู่ห้องหัวใจและหลอดเลือด โดยส่วนมากโรคลิ้นหัวใจตีบมักจะมีอาการที่ไม่ค่อยแตกต่างจากโรคของลิ้นหัวใจรั่วมากเท่าไหร่
สัญญาณเตือน
- เหนื่อยง่าย
- หายใจลำบาก หายใจไม่เต็มอิ่ม
- ไอเรื้อรัง
- ขาบวม
- รู้สึกเหมือนมีน้ำในช่องท้อง
- ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม
อาการรุนแรง
- หายใจหอบ เหนื่อยมาก
- เจ็บหน้าอก
- หมดสติ
4. โรคลิ้นหัวใจรั่ว
โรคที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่ทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท ซึ่งเป็นเหตุทำให้เลือดไหลย้อนกลับจนหัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดให้เพียงพอต่อความต้องการของหัวใจ ซึ่งคนที่เป็นโรคนี้มักจะใช้ชีวิตประจำวันได้ไม่เต็มที่เหมือนคนปกติทั่วไป และบางรายอาจเสียชีวิตได้เนื่องจากการทำงานของหัวใจล้มเหลว โดยสาเหตุหลัก ๆ ของโรคลิ้นหัวใจรั่วมาจากความผิดปกติของหัวใจที่มีความบกพร่องมาแต่กำเนิด เช่น หลอดเลือดลิ้นหัวใจตีบ จึงส่งผลให้ลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ
สัญญาณเตือน
- เหนื่อยง่าย
- หายใจลำบาก หายใจไม่เต็มอิ่ม
- ไอเรื้อรัง
- ขาบวม
- รู้สึกเหมือนมีน้ำในช่องท้อง
- ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม
อาการรุนแรง
- หายใจหอบ เหนื่อยมาก
- เจ็บหน้าอก
- หมดสติ
5. โรคหัวใจขาดเลือด
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เป็น ภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง หายใจหอบ เหงื่อออกเยอะ
สัญญาณเตือน
- เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก คล้ายถูกกดทับ มักเกิดขึ้นกลางอก อาจร้าวไปยังกราม ไหล่ แขนซ้าย คอ หรือหลัง
- หายใจลำบาก หายใจไม่เต็มอิ่ม
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม
- เหงื่อออกมาก
อาการรุนแรง
- เจ็บหน้าอกรุนแรง แน่นิ่ง นานกว่า 20 นาที
- หายใจหอบ เหนื่อยมาก
- หมดสติ
6. โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
เกิดจากมีจุดหรือตำแหน่งบางตำแหน่งของหัวใจที่กำเนิดกระแสไฟฟ้าผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ จึงไม่มีผลต่อการทำงานของหัวใจ
อาการของโรคหัวใจชนิดนี้
- อาการหัวใจเต้นช้าผิดปกติ โดยปกติแล้วอัตราการเต้นของหัวใจจะขึ้นอยู่กับการทำกิจกรรมและความต้องการออกซิเจนของร่างกาย ซึ่งอัตราการเต้นในขณะนี้จะต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที ซึ่งจะทำให้มีอาการความดันต่ำ หน้ามืด มึนงง วูบและอาจเป็นหนักถึงขั้นเป็นลมหมดสติ ส่วนในผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากมักจะมีอาการแค่อ่อนเพลีย และเหนื่อยง่าย
- อาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ อัตราการเต้นของหัวใจจะมากกว่า 60 ครั้งต่อนาที ซึ่งอาจสูงจนถึง 100 ครั้งต่อนาทีหรือมากกว่านั้นก็ได้ ซึ่งถ้าหากเป็นเพียงเล็กน้อยก็จะมีแค่อาการเหนื่อยง่าย และหัวใจเต้นเร็วเท่านั้น ซึ่งสามารทำได้โดยการนั่งพักหรือพักการทำกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ในขณะนั้น แต่ถ้ามีอาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่ออก หน้ามืด ความดันต่ำเลือดต่ำ หัวใจวาย อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษา
7. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
โครงสร้างหัวใจผิดปกติตั้งแต่กำเนิด ผู้ป่วยอาจมีอาการหายใจหอบ เหนื่อยง่าย ใจสั่น ตัวเขียว
อาการ
- ในเด็กทารกจะมีอาการเหนื่อยได้ง่ายเวลาที่กินนมแม่จนบางครั้งทำให้เด็กหายใจไม่ทัน และส่งผลให้น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นได้ช้า
- ในเด็กโตที่โตขึ้นจนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มักจะมีอาการเหนื่อยง่ายเวลาเล่นกับเพื่อน ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก
- สีผิวซีดหรือเขียว เล็บและริมฝีปากมีสีม่วงหรือเขียวคล้ำ
- อาการบวมที่ขา ท้อง หรือบริเวณรอบดวงตา และนิ้ว
การป้องกันการเกิดโรคหัวใจ สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- เลิกสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจ ควรเลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
- ควบคุมน้ำหนัก: ควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ: ทานผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี เลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัวสูง ไขมันทรานส์ โซเดียม และน้ำตาล
- ควบคุมระดับความดันโลหิต: ควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ควบคุมระดับไขมันในเลือด: ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การรักษาโรคหัวใจในปัจจุบัน
การรักษาโรคหัวใจในปัจจุบันนั้นมีทางเลือกและวิธีที่หลากหลายให้กับผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นการรักษาตามอาการ เพราะโรคหัวใจเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ง่าย จึงต้องรักษาตามที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแนะนำและให้การดูแลอย่างใกล้ชิด แต่อย่างไรก็ตามการรักษาโรคหัวใจก็ยังมีวิธีที่แพทย์จะทำการรักษาผู้ป่วยดังต่อไปนี้
การรักษาตามอาการ
การรักษาด้วยวิธีนี้จะเป็นการรักษาผู้ป่วยตามอาการที่แสดงออกมาให้เห็น โดยแพทย์ผู้ทำการรักษาจะทำการนัดผู้ป่วยมาตรวจเพื่อติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และจะแนะนำผู้ป่วยถึงการปฏิบัติตัวเพื่อไม่ให้อาการของโรคกำเริบขึ้น รวมไปถึงให้ยาร่วมด้วยเพื่อป้องกันการกำเริบของโรคก่อนมาตรวจในครั้งถัดไป
การใช้ยารักษา
การใช้ยารักษาเป็นการรักษาร่วมกับการรักษาด้วยวิธีการติดตามอาการของแพทย์ผู้ทำการรักษา แต่การให้ยาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งการให้ยาเป็นการใช้เพื่อควบคุมการทำงานของหัวใจไม่ให้ทำงานหนักจนเกิดอาการกำเริบขึ้นได้
การรักษาด้วยหัตถการหลอดเลือดหรือการผ่าตัด
การรักษาด้วยวิธีนี้จะเป็นการรักษาที่เจาะลึกลงไปยังส่วนที่ผิดปกติของร่างกายจึงทำให้การรักษาด้วยวิธีนี้มีความเสี่ยงต่อชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก เพราะถ้าหากเกิดความผิดพลาดระหว่างการรักษานั่นหมายถึงผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ จึงทำให้แพทย์ผู้ที่ทำการรักษาต้องมีการปรึกษากับผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยเพื่อถามถึงความสมัครใจในการรักษา และจะได้ทำการวางแผนการรักษาในขั้นต่อไป ซึ่งการรักษาด้วยหัตถการหลอดเลือดหรือการผ่าตัดมีวิธีการรักษาดังนี้
- การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและขดลวด
- การขยายลิ้นหัวใจที่ตีบด้วยบอลลูน
- การใส่ลิ้นหัวใจเทียมแทนลิ้นหัวใจที่ตีบจากการเสื่อมสภาพ โดยการสอดใส่ผ่านทางหลอดเลือด
- การปิดกั้นผนังกั้นหัวใจที่รั่วด้วยอุปกรณ์พิเศษผ่านทางหลอดเลือด
- การจี้หัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูงโดยการใส่สายผ่านทางหลอดเลือด
- การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจชนิดถาวร
- การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ
- การผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจโดยใช้หลอดเลือดของผู้ป่วยเอง
- และการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม
การรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟูและการกายภาพบำบัด
การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นการช่วยฟื้นฟูร่างกายให้ผู้ป่วยให้กลับมาแข็งแรงจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และอาจทำให้ผู้ป่วยสามารถที่จะกลับมาออกกำลังกายได้ตามความต้องการของตัวเองได้มากขึ้น วิธีรักษาโรคหัวใจด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัดนั้นเป็นการรักษาที่ช่วยในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงลดอาการโรคหัวใจได้ดีขึ้น โดยในตอนแรกจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และนักกายภาพบำบัด ก่อนจะค่อยๆปรับเพิ่มโปรแกรมที่ทำผู้ป่วยสามารถทำเองได้และนำไปปฏิบัติใช้ที่บ้านเองได้ทั้งหมด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีไหนก็ตามแต่ ล้วนขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวเองในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน และการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงความเสี่ยงและลดความเครียดเพื่อไม่ให้หัวใจทำงานหนัก ส่วนในคนที่เป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่กำเนิดก็ต้องปฏิบัติตัวเองไม่ให้อาการของโรคกำเริบ ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายและหลีกเลี่ยงความเครียดที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลให้หัวใจทำงานหนักได้
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคหัวใจ
- การตรวจวินิจฉัย:
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) อยู่ที่ประมาณ 500 – 1,000 บาท
- ตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram) อยู่ที่ประมาณ 2,000 – 5,000 บาท
- ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หัวใจ (Cardiac CT scan) อยู่ที่ประมาณ 10,000 – 20,000 บาท
- ตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนแม่เหล็กไฟฟ้า (Cardiac MRI) อยู่ที่ประมาณ 20,000 – 40,000 บาท
- การรักษา:
- การทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ อยู่ที่ประมาณ 70,000 – 200,000 บาท
- การผ่าตัดบายพาสหัวใจ อยู่ที่ประมาณ 200,000 – 1,000,000 บาท
- การผ่าตัดหลอดเลือดคอที่ไปเลี้ยงสมอง อยู่ที่ประมาณ 380,000 – 700,000 บาท
- การผ่าตัดทำทางเบี่ยงของหลอดเลือดหัวใจ หรือ Coronary Artery Bypass Grafting (CABG) อยู่ที่ประมาณ 700,000 – 1,000,000 บาท
- การผ่าตัดซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ อยู่ที่ประมาณ 800,000 – 1,000,000 บาท
โรคหัวใจเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด เป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม การตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย และการควบคุมความเครียด ล้วนเป็นวิธีป้องกันโรคหัวใจได้ อย่างไรก็ตาม หากเกิดป่วยเป็นโรคหัวใจ สิ่งสำคัญคือต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การมีประกันสุขภาพที่ดี จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย อย่าลืมดูแลสุขภาพหัวใจ และเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์
แหล่งอ้างอิงที่มาของข้อมูล
- https://www.bangkokhospital.com/page/cardiovascular-surgery
- https://www.paolohospital.com/th-TH/center
- https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/heart-disease
- https://www.sikarin.com/health
- https://www.bangkokhearthospital.com/content/heart-disease
- https://www.pobpad.com
- https://www.theptarin.com/th/article/detail/58
- https://www.sikarin.com/doctor-articles
- https://www.phyathai.com
- https://www.vejthani.com/th
- https://www.medparkhospital.com/content/heart-disease
- https://www.tnnthailand.com/home
- กระทรวงสาธารณสุข