การนับวันตกไข่ – How To แบบง่าย แต่ใช้ได้จริง เพื่อการวางแผนมีลูก

เป้าหมายชัด ขั้นตอนต้องชัดกว่า การนับวันตกไข่ คือทักษะที่ผู้วางแผนมีลูกต้องเรียนรู้ บทความนี้จะเรียงลำดับให้หมด ว่าควรเริ่มตรงไหน ใช้อะไรยืนยันความแม่น และวางจังหวะยังไงให้ไม่พลาดโอกาสทอง เปลี่ยนการวางแผนมีลูก จากความกังวล ให้เป็นแผนงานที่คุณคุมเกมเอง

การตกไข่คืออะไร และทำไมต้องนับวันตกไข่

การตกไข่ (Ovulation) คือกระบวนการที่รังไข่ปล่อยไข่ที่สุกเต็มที่ออกมาเข้าสู่ท่อนำไข่เพื่อรอการปฏิสนธิ ไข่ที่ตกออกมาในแต่ละรอบมีอายุเพียง 12–24 ชั่วโมง แต่เชื้ออสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในโพรงมดลูกได้นานถึง 3–5 วัน

ดังนั้น “ช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่สุด” หรือ Fertile Window จึงกินเวลาประมาณ 6 วันต่อรอบเดือน คือ 5 วันก่อนวันตกไข่ และวันตกไข่เอง การนับวันตกไข่จึงเป็นเหมือน “เข็มทิศ” ที่ช่วยบอกว่าช่วงเวลาใดคือโอกาสทองของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะสำหรับคู่ที่กำลัง วางแผนมีบุต

การนับวันตกไข่

1. การนับจากรอบเดือน (Calendar Method)

หลักการ: การตกไข่จะเกิดขึ้นประมาณ 12–16 วันก่อนประจำเดือนรอบถัดไป วิธีนี้จึงใช้การบันทึกวันแรกของประจำเดือนติดต่อกันอย่างน้อย 3–6 เดือน เพื่อนำมาคำนวณหาช่วงที่ไข่น่าจะตก

ขั้นตอน

  1. จดบันทึกวันแรกที่มีประจำเดือนทุกเดือน
  2. หารอบเดือนที่สั้นที่สุด และรอบที่ยาวที่สุด
  3. ใช้สูตรคำนวณ
    • วันเริ่มต้นของช่วงเจริญพันธุ์ = รอบสั้นสุด – 18
    • วันสิ้นสุดของช่วงเจริญพันธุ์ = รอบยาวสุด – 11

ตัวอย่าง

  • หากรอบสั้นสุด = 27 วัน, รอบยาวสุด = 32 วัน
  • ช่วงเจริญพันธุ์ = วันที่ 9–21 ของรอบเดือน

ข้อดี: ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ & เข้าใจง่าย

ข้อจำกัด: ใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อรอบเดือนค่อนข้างสม่ำเสมอ และไม่เหมาะกับคนที่รอบเดือนแปรปรวน

2. การวัดอุณหภูมิร่างกายพื้นฐาน (Basal Body Temperature – BBT)

หลักการ: หลังการตกไข่ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ทำให้อุณหภูมิพื้นฐานสูงขึ้นเล็กน้อย การวัดอุณหภูมิจึงช่วยยืนยันว่าไข่ได้ตกไปแล้ว

ขั้นตอน

  1. ใช้ปรอทดิจิทัลที่ละเอียด 2 จุดทศนิยม
  2. วัดอุณหภูมิทุกเช้า หลังตื่นนอน แต่ก่อนลุกจากเตียง
  3. บันทึกผลลงกราฟทุกวัน
  4. สังเกตแนวโน้มว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 0.3–0.5 °C หลังไข่ตก และคงอยู่ประมาณ 10–14 วัน

ข้อดี: ช่วยยืนยันว่ามีการตกไข่จริง และยังช่วยประเมินภาวะมีบุตรยาก เช่น หากอุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงเลย

ข้อจำกัด

  • ต้องทำต่อเนื่องทุกวัน
  • การนอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์ หรือป่วย อาจทำให้ค่าคลาดเคลื่อน
  • ใช้ทำนายอนาคตไม่ค่อยแม่น เพราะรู้ผลหลังไข่ตกไปแล้ว

3. การสังเกตมูกปากมดลูก (Cervical Mucus Monitoring)

หลักการ: มูกปากมดลูกเปลี่ยนแปลงตามระดับฮอร์โมนในรอบเดือน ดังนี้

  • ช่วงก่อนตกไข่ → มูกใส ยืดได้ยาว คล้ายไข่ขาวดิบ → เป็นช่วงเหมาะสมต่อการปฏิสนธิ
  • หลังตกไข่ → มูกขุ่น เหนียว ขาดความยืดหยุ่น → ลดโอกาสตั้งครรภ์

ขั้นตอน

  1. สังเกตมูกจากกระดาษชำระ หรือใช้นิ้วแตะ
  2. ประเมินลักษณะความใส ความยืดหยุ่น และปริมาณ
  3. จดบันทึกทุกวัน

ข้อดี: เป็นวิธีที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงร่างกายแบบวันต่อวัน

ข้อจำกัด: ต้องใช้ประสบการณ์สังเกตบ่อย ๆ และหากมีการติดเชื้อในช่องคลอดอาจทำให้มูกผิดปกติ ทำให้การสังเกตุผิดพลาดได้

4. ชุดตรวจการตกไข่ (Ovulation Predictor Kit – OPK)

หลักการ: ตรวจหาฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone) ที่จะพุ่งสูงขึ้น 24–36 ชั่วโมงก่อนการตกไข่

ขั้นตอน

  1. ใช้แถบตรวจปัสสาวะ คล้ายชุดตรวจตั้งครรภ์
  2. เริ่มตรวจประมาณวันที่ 10–12 ของรอบเดือน (ในรอบปกติ 28 วัน)
  3. หากขึ้น 2 ขีดชัดเจน → แปลว่าการตกไข่จะเกิดขึ้นใน 24–36 ชั่วโมงถัดไป

ข้อดี: ความแม่นยำสูง (มากกว่า 90%)

ข้อจำกัด: มีค่าใช้จ่าย (กล่องละ 500–1,500 บาท) และอาจตรวจผลบวกปลอมได้ในบางภาวะ เช่น PCOS

5. การใช้แอปพลิเคชันติดตามรอบเดือน

หลักการ: บันทึกวันประจำเดือนและอาการต่าง ๆ แอปจะคำนวณด้วยอัลกอริทึมและ AI

ตัวอย่างแอปยอดนิยม: Flo, Clue, Ovia และ Glow

ข้อดี

  • ใช้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
  • มีฟีเจอร์แจ้งเตือนช่วงเจริญพันธุ์
  • เก็บข้อมูลสถิติหลายเดือนพร้อมวิเคราะห์แนวโน้ม

ข้อจำกัด: ความแม่นยำขึ้นกับข้อมูลที่ใส่ และเหมาะเป็นเครื่องมือเสริม ไม่ควรใช้เป็นวิธีหลัก

6. การทำอัลตราซาวด์ติดตามไข่ (Follicle Monitoring)

หลักการ: แพทย์ใช้คลื่นเสียงตรวจดูขนาดของถุงไข่ (Follicle) ในรังไข่โดยตรง

ขั้นตอน

  • ทำอัลตราซาวด์ทางช่องคลอดในวันที่ 10–12 ของรอบเดือน
  • หากถุงไข่มีขนาด 18–24 มม. → แสดงว่าไข่ใกล้ตก

ข้อดี: แม่นยำที่สุด เห็นการเจริญของไข่จริง และใช้ยืนยันผลสำหรับคนที่มีบุตรยาก หรือทำ IVF

ข้อจำกัด: ต้องไปโรงพยาบาลหลายครั้งต่อรอบ และมีค่าใช้จ่ายสูง (ครั้งละ 1,000–3,000 บาท)

7. การตรวจฮอร์โมนในเลือด

หลักการ: ตรวจระดับโปรเจสเตอโรน (Progesterone) หลังช่วงตกไข่เพื่อยืนยันว่าเกิดการตกไข่จริง

ข้อดี: เป็นหลักฐานทางการแพทย์ชัดเจน และยังสามารถใช้ตรวจในกรณีสงสัยภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง

ข้อจำกัด: ต้องเจาะเลือดที่โรงพยาบาล ไม่สามารถทำเองที่บ้านได้

ตารางเปรียบเทียบวิธีนับวันตกไข่

วิธีความแม่นยำความสะดวกค่าใช้จ่ายเหมาะกับใคร
นับรอบเดือน★★☆☆☆★★★★★ฟรีคนรอบเดือนสม่ำเสมอ
วัดอุณหภูมิ BBT★★★☆☆★★☆☆☆ต่ำ (ปรอทดิจิทัล 200–500 บาท)คนมีวินัยสูง
สังเกตมูกปากมดลูก★★★☆☆★★★★☆ฟรีคนใส่ใจร่างกาย
ชุดตรวจ OPK★★★★☆★★★★☆ปานกลาง (500–1,500 บาท/เดือน)คนที่ต้องการความแม่น
แอปพลิเคชัน★★☆☆☆★★★★★ฟรีใช้ควบคู่กับวิธีอื่น
อัลตราซาวด์ติดตามไข่★★★★★★★☆☆☆สูง (1,000–3,000 บาท/ครั้ง)คู่ที่มีบุตรยาก
ตรวจฮอร์โมนเลือด★★★★★★★☆☆☆สูง (1,500–3,000 บาท)คนสงสัยปัญหามีบุตรยาก

เคล็ดลับการนับวันตกไข่ให้แม่นขึ้น

  • ใช้ หลายวิธีควบคู่กัน เช่น ใช้แอปฯ + สังเกตมูก + ชุดตรวจ OPK
  • จดบันทึกเป็นเวลาอย่างน้อย 3–6 เดือน เพื่อดูแนวโน้มจริง
  • หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะส่งผลต่อการตกไข่
  • หากพยายามเกิน 6–12 เดือนแล้วยังไม่ตั้งครรภ์ ควรพบแพทย์

และนี่ก็คือแนวทางการนับวันตกไข่ ที่จะทำให้ว่าที่คุณแม่ สามารถวางแผนเพื่อการมีบุตรได้ดียิ่งขึ้น หวังว่าบทความนี้จะช่วยทำให้ว่าที่คุณพ่อ-คุณแม่ ได้นำไปลองใช้ และประสบความสำเร็จ สามารถมีน้องได้ในเร็ววันนะคะ

และสำหรับว่าที่คุณแม่คนไหน ที่อยากได้แผนประกันสุขภาพ ที่ครอบคลุมการฝากครรภ์ ไปจนถึงการคลอด และยังทำ Nifty (กรณีอายุเกิน 35 ปี) ได้ สามารถทักมาคุยกันได้เลยนะคะ ว่าน ยินดีให้คำแนะนำค่ะ หรือทักมาคุยกับว่านได้ที่ @MeMaytapriya นะคะ


แหล่งอ้างอิง

  • American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG). Ovulation and Fertility.
  • Mayo Clinic. Ovulation: Signs and tracking methods.
  • WHO. Maternal and newborn health.
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือหญิงตั้งครรภ์.
  • สมาคมเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์แห่งประเทศไทย. ข้อมูล IVF, ICSI.
  • Bumrungrad Hospital. Maternity Package.
  • Samitivej Hospital. Delivery cost.

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top